1. ผู้ที่มีสถานะ U=U จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีให้ใครได้อีก
U=U หมายถึง คนที่ติดเชื้อเอชไอวี แล้วกินยาต้านไวรัสอย่างจะต่อเนื่องและตรงเวลา จนสามารถกดปริมาณไวรัสให้ต่ำถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจหาไวรัสในเลือดพบ มีหลักฐาน
2. U=U คือข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับ
U=U ไม่ใช่งานวิจัย และไม่ได้กําลังรอผลการวิจัยใดๆ U=U เป็นความจริงที่พิสูจน์แล้วจากงานวิจัย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎี
3. ถึง U=U จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อได้อีก แม้ไม่ใส่ถุงยาง แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เลิกใช้ถุงยาง
U=U ไม่ได้บอกให้เลิกใช้หรือห้ามใช้ถุงยาง แต่ U=U บอกว่า คนที่ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนอื่นได้เลย แม้จะมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยาง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีสถานะ U=U และคู่ ยังสามารถรับเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ไวรัสตับอักเสบ หรือตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยางได้
4. U=U ไม่มีการติดเอชไอวีซ้ำซ้อน
ในอดีตเคยมีรายงานการติดเชื้อเอชไอวีซ้ําซ้อนในคนที่ติดเชื้อ และไม่ได้กินยาต้านไวรัส แต่ตั้งแต่มีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างแพร่หลาย ยังไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือติดเชื้อดื้อยาจากคนอื่นในผู้ที่กินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบเชื้อแล้วเลย
5. U=U ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและคู่
ผู้มีสถานะ U=U สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ใครอีก หากทานยาอย่างถูกต้อง อีกทั้ง U=U ยังเหมาะกับคู่ของคนที่ติดเชื้อเอชไอวีที่คงสถานะ U=U แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่ดีที่สุดแล้ว ยังช่วยตอบโจทย์คู่ที่ต้องการตั้งครรภ์อีกด้วย ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับตัวเอง
6. U=U ช่วยลดการตีตราต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี
เมื่อทราบแล้วว่า U=U จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกต่อไปแม้ไม่ใช้ถุงยาง การกอด การกินข้าวร่วมกัน เรียนด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เข้าห้องน้ำเดียวกัน หรืออยู่บ้านเดียวกัน ยิ่งไม่ติดแน่ๆ ดังนั้น รีบมาตรวจเอชไอวี เพื่อเริ่มการรักษาให้อยู่ในสถานะ U=U หากพบเชื้อ เพราะการมีเชื้อเอชไอวีไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://ihri.org/get-to-know-uu-more-with-these-6-universally-proven-facts/